บทความ

what is phonics krubow

โฟนิกส์ (Phonics) คืออะไร และชุดการสอนโฟนิกส์ช่วยการเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างไร ครูโบว์จะเล่าให้ฟัง

          ฟนิกส์  Phonics  เป็นวิธีการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษ ที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถฝึกอ่านภาษาอังกฤษได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น  เทคนิคการสอนโฟนิกส์จึงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกับกลุ่มเด็กเล็กและกลุ่มผู้เริ่มต้นหัดเรียนภาษาอังกฤษ โฟนิกส์จึงกลายเป็นวิชาที่เกิดขึ้นมาใหม่  โดยคำว่า  Phonics  มาจากรากศัพท์  คือ คำว่า Phone ที่เเปลว่า เสียง  และ -ics   ที่แปลว่า วิชา หรือความรู้ เมื่อนำมารวมกัน  Phonics  จึงมีความหมายว่า 

The Study of Sound วิชาที่มุ่งเน้น  “ การศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของเสียงกับตัวอักษร”  นั่นเองค่ะ

         ซึ่งโฟนิกส์ให้ความสำคัญกับ  Letter  Sound  หรือเสียงของแต่ละตัวอักษรมาก ๆ  เพราะเมื่อเด็กเล็ก  หรือผู้ที่เริ่มต้นหัดอ่านภาษาอังกฤษ ได้รู้จักเสียงเหล่านั้นแล้ว  พวกเขาจะสามารถผสมเพื่ออ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษใดๆ ได้ด้วยตัวเอง              ยกตัวอย่าง   คุณพ่อ  คุณแม่ที่เรียนภาษาอังกฤษแบบดั้งเดิมในระบบโรงเรียน  ที่คุณครูไม่เคยใช้หลักโฟนิกส์ในการสอนมาก่อน  คุณพ่อ คุณเเม่ต้องท่องคำศัพท์ตามชื่อตัวอักษรแบบนี้ใช่ไหมคะ  

เช่น  Pet  พี  อี  ที  =  เพ็ท  หรือ  Brush  บี  อาร์  ยู  เอส  เอช  =  บรัช

    ซึ่งการเรียกเฉพาะชื่อของตัวอักษรแบบนั้น  เราจึงไม่เห็นความเชื่อมโยงว่า ชื่อไปสัมพันธุ์กับเสียงของตัวอักษร และผสมอ่านออกมาเป็นคำๆนั้นได้อย่างไร
เด็กที่ไม่ได้เรียนโฟนิกส์ จะไม่เข้าใจการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษ สุดท้ายจะส่งผลกระทบทั้งกับการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษไปด้วย
          ทุกท่านไม่เข้าใจความสัมพันธ์นี้ถูกต้องไหมคะ ครูโบว์เองก็เป็นเช่นนั้นมาก่อน การท่องศัพท์อังกฤษและอ่านแบบจำไปทั้งคำหรือ  ( whole word approach ) แบบที่เรียนกันมาในสมัยก่อน จะใช้ได้ผลเฉพาะกับเด็กที่มีความสามารถในการจำเก่ง หรือฝึกฝนอย่างหนักเท่านั้น   แต่ไม่ใช่กับเด็กที่จำไม่เก่งแน่ๆ เพราะเด็กเค้าจะจำไม่ได้ และเกิดความท้อถอยในการเรียนภาษาอังกฤษ มาถึงยุคนี้ที่มีวิชาโฟนิกส์เข้ามา เด็กที่ได้เรียนโฟนิกส์จะลดข้อจำกัดทางการเรียนภาษาอังกฤษ จากที่เมื่อก่อนต้องใช้ความจำและความพยายามอย่างหนักหน่วงในการท่องศัพท์  แต่เด็กโฟนิกส์จะเริ่มต้นเรียนจากการ…รู้จักเสียงก่อน  โดยฝึกวางลิ้นของแต่ละหน่วยเสียงย่อยให้ถูกต้องตามตำเเหน่งที่มาของการเกิดเสียง เรียกว่ากระบวนการ phonemic awareness ( การตระหนักหน่วยเสียงย่อย )  เมื่อเด็กเกิดความคุ้นชิน และเชื่อมโยงเสียง กับตัวอักษรภาษาอังกฤษ จนสามารถถอดรหัสเสียง ( decode ) ออกมาได้เเล้วนั้น  พวกเค้าจะได้เรียนการฝึกผสมเสียงตามหลักโฟนิกส์  ดังนั้นเด็กๆ จึงอ่านคำศัพท์ 

คำว่า  Pet  ได้ว่า  เช่น  เพอะ  เอะ  ถึ  =  เพ็ทถึ (   หากคุณพ่อ คุณแม่ลองออกเสียง  เพอะ-เอะ-ถึ เร็วๆซ้ำไปซ้ำมา  จะพบว่าสุดท้ายเราจะได้เสียงผสมออกมาเป็นคำว่า  “ เพ็ทถึ ” ) หรือ คำว่า brush เบอะ เหร่อะ อะ ฉึ = บรัชฉฺ  ก็จะผสมและเห็นความสัมพันธ์ุของเสียงกับตัวอักษร

            จะเห็นว่าวิธีของเด็กที่รู้จักเคล็ดลับโฟนิกส์   จะฝึกลิ้นและใช้อวัยวะในปาก เพื่อการเปล่งเสียงอย่างสอดคล้องกัน  ไล่เรียงทีละหน่วยเสียงย่อย เพื่อเกิดกระบวนการเชื่อมโยงระหว่างเสียงกับตัวอักษรอย่างเเท้จริง เมื่อเด็กๆสามารถจำ Letter Sound เสียงของตัวอักษร ได้ทั้งหมดแล้ว เค้าจึงมีความสามารถในการเปล่งหน่วยเสียงย่อยใดๆ และผสมเสียงเหล่านั้นเพื่ออ่านศัพท์ภาษาอังกฤษออกเป็นคำได้ โดยไม่ต้องท่องจำ เด็กที่เรียนโฟนิกส์สามารถอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น เทคนิคการสอนโฟนิกส์ช่วยให้เด็กเข้าใจการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษ และสามารถอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น ช่วยให้การเรียนภาษาอังกฤษกลายเป็นเรื่องสนุก สรุปหัวข้อย่อยในบทความนี้ (อยากอ่านประเด็นไหน ก็คลิกที่หัวข้อย่อยได้เลยค่ะ) 1. ระบบเสียงในภาษาอังกฤษ มีกี่เสียงกันแน่ 2. แล้วเด็ก ๆ ควรรู้โฟนิกส์กี่เสียง 3. โฟนิกส์สำคัญอย่างไร ในการเรียนภาษาอังกฤษ 4. โฟนิกส์เหมาะกับเด็กวัยกี่ขวบ 5. เทคนิควิธีการสอนโฟนิกส์เบื้องต้น ถ้าสนใจศึกษาเพิ่มเติมเรื่องการเรียนโฟนิกส์ ให้อ่านบทความต่อไปนี้ค่ะ  และต่อไปนี้คือตัวอย่างของการใช้โฟนิกส์ในการสอนจริงค่ะ (เคสนี้ใช้ Jolly Phonics นะคะ)

ระบบเสียงในภาษาอังกฤษมีกี่เสียงกันแน่? The English alphabet has 26 letters. 

            ภาษาอังกฤษมี  26  ตัวอักษร  ประกอบไปด้วย  พยัญชนะ ( consonant )  21 ตัว และ สระ ( vowel ) 5 ตัว ด้วยกัน  แต่เสียงในภาษาอังกฤษมีมากถึง 44 เสียง  ซึ่งสามารถอ้างอิงจำนวนเสียงตามระบบ IPA (International Phonetic Alphabet) หรือ วิชาสัทธอักษรสากล ที่นักภาษาศาสตร์คิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์มาตรฐานการออกเสียงของภาษาใดๆทั่วโลก
phonemic awareness

แต่ด้วยความที่ภาษาอังกฤษมีตัวอักษรน้อยมากๆ การสร้างเสียงจึงเกิดจากการหยิบตัวอักษรมารวมกัน 

เช่น เสียง /sh/, /th/, /ch/ และ /ng/ เมื่อนำพยัญชนะสองตัวมารวมกัน จึงทำให้เกิดการสร้างเสียงใหม่  หรือแม้แต่เสียงของสระที่มีทั้งเสียงสั้น และเสียงยาว เช่น /ai/,/a_e/, /ie/ และ /ou/ เมื่อรวมสระสองตัวก็เกิดเป็นเสียงใหม่ เช่นกัน

แล้วเด็กๆควรรู้โฟนิกส์กี่เสียง ? 

              เราจะเห็นได้ว่าเด็กโฟนิกส์เรียนเรื่องเสียง  มากกว่า  26 เสียงอย่างแน่นอน  ซึ่งถ้าอ้างอิงตามระบบโฟนิกส์อันดับหนึ่งของโลกจากประเทศอังกฤษ อย่างจอลลี่โฟนิกส์  (Jolly  Phonics) ซึ่งจะสอนทั้งหมด 42 เสียงหลักด้วยกัน โดยแบ่งออกเป็น 7 กลุ่มเสียง ไล่เรียงลำดับจากกลุ่มเสียงที่ง่ายไปเสียงที่ยาก ซึ่งในระบบ Jolly จะสอนเพียง 39 เสียงของระบบ IPA เท่านั้น

Jolly Phonics 42 Letter Sound

           เสียงที่  Jolly  ไม่ได้สอนได้เเก่เสียง  /ʒ/, /ə/, /ɪə/, /eə/, /ʊə/  เนื่องจากรูปอักษรในภาษาอังกฤษที่ใช้แทนหน่วยเสียงย่อยดังกล่าว  มีความซับซ้อนและยุ่งยากสำหรับเด็กเล็กเกินไป เช่น  เสียง  /ʒ/  ในคำว่า  television และ delusion (ปกติตัว s จะออกเสียง /s/ “ซึ” เช่นในคำว่า sit sat sand  แต่ s ในคำว่า television ออกเสียง /ʒ/ ) และ  เสียง  /ə/ “เออะ” ในคำว่า  lemon เลเหมิ่น,  salmon แซเหมิ่น ที่ตำแหน่งการออกเสียง เกิดในพยางค์ที่ไม่เน้น 

          สนใจคลิกอ่านเพิ่มเติมได้ว่า  Jolly Phonics ดีไหม ดีอย่างไร ทำไมครูโบว์ถึงเลือกมาใช้สอนเด็ก ๆ ^^

โฟนิกส์สำคัญอย่างไร ในการเรียนภาษาอังกฤษ ?

Kids are great imitators, so give them something great to imitate.

             โดยธรรมชาติ คุณพ่อคุณแม่จะแอบสังเกตเห็นว่า “ลูกเป็นนักเลียนแบบที่ยอดเยี่ยม เราจงมอบสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดให้เค้าได้เลียนแบบ” อย่างที่ทราบกันดีค่ะ เราสามารถฝึกลูกเล็กตั้งแต่วัย 1 ขวบเป็นต้นไปให้รู้จักเรื่องเสียงได้  ให้เค้าได้ยินหน่วยเสียงย่อยบ่อยๆ ผ่านการ ร้องเพลง เต้น ทำท่าประกอบ หรือ แม้กระทั่ง การฝึกพูดกับลูก หากลูกมีต้นแบบการออกเสียงที่ถูกต้อง เค้าจะสามารถเลียนแบบบุคคลใกล้ชิดได้ดีที่สุด

เช่น เราอาจจะชวนลูกคุยในชีวิตประจำวัน

Mom: “  What is this animal ?  ”
Kid: ……
Mom: “  This is the cat. /c/,/c/,/c/ cat. ”

              การสร้างการตระหนักรู้ในเรื่องหน่วยเสียงย่อย หรือ phonemic awareness ให้เด็กเล็กตั้งแต่ในวัยที่เค้ายังไม่ทันได้รู้จักตัวอักษร เป็นสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้ลูกมีพัฒนาการเรื่องเสียงได้ดียิ่งขึ้น เมื่อลูกโตขึ้นมาอีกนิด สัก 2.5-3.5  ขวบ น้องเริ่มรู้จักตัวอักษร และถอดเสียงโฟนิกส์มากยิ่งขึ้น เด็กที่เก่งโฟนิกส์จะใส่ใจและแม่นยำในหน่วยเสียงย่อย เค้าจะไม่ลืมเสียงต้น (  initial sound  ) เสียงสระ (  vowel sound  ) และเสียงท้าย (  final sound  ) นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเด็กโฟนิกส์ถึงอ่านคำศัพท์ภาษาอังกฤษใด ๆ และได้สำเนียงใกล้เคียงเจ้าของภาษา เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ออกทุกหน่วยเสียงอย่างชัดเจน

phonics_flashcard_krubow           เมื่อเด็กๆแยกและถอดรหัสเสียงของแต่ละตัวอักษรได้ จากนั้นผสมเสียงรวมเป็นหนึ่งคำศัพท์ ทักษะโฟนิกส์ที่สำคัญมากตรงนี้ จะส่งผลให้เด็กๆ ต่อยอด การอ่าน และการเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษพื้นฐานใด ๆ ในระบบโฟนิกส์ได้ ซึ่งศัพท์โฟนิกส์เบื้องต้นมีมากถึง 1,200 คำ

            วิชาโฟนิกส์เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องเสียง เปรียบเสมือนเราเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรายังต้องให้ลูกแม่นยำสูตรคูณ ท่องสูตรคูณให้ได้ก่อน เพื่อจะได้ใช้สูตรนี้ในการแก้ปัญหาโจทย์ระดับสูงยิ่งๆขึ้นไป  ฉันใดก็ฉันนั้น  การเรียนภาษาอังกฤษ  ลูกๆต้องได้รู้จักสูตรเรื่องเสียงทั้งหมดในวิชาโฟนิกส์เสียก่อน   เพื่อให้ลูกได้นำหน่วยเสียงต่างๆ  ที่รู้จักแล้วไปต่อยอดในการเปล่งเสียงสะกดและอ่านคำศัพท์ใดๆ  ในวิชาภาษาอังกฤษที่โรงเรียน  หากปราศจากการศึกษาเรื่องเสียงแล้ว รวมถึงละเลยวิชาโฟนิกส์ไปตั้งแต่เเรก  ก็เปรียบเสมือนการขาดจุดเริ่มต้นและองค์ประกอบที่เล็กที่สุด แต่สำคัญที่สุดของการเรียนภาษา เหมือนเราให้ลูกเรียนคณิตศาสตร์ แต่ลูกกลับไม่แม่นสูตรคูณเท่านั้นเอง  จึงเกิดอุปสรรคและต่อยอดในการเรียนได้ยาก 

ดังนั้นความสำคัญของวิชาโฟนิกส์จึงมุ่งเน้นให้เด็กๆจะได้คุ้นชิน กับการฝึกผสมเสียงพยัญชนะและ สระต่างๆ ในภาษาอังกฤษ
ทั้งสระเสียงสั้น เสียงยาว ที่หลากหลายและแม่นยำ จนเป็นที่มาของการอ่านคำศัพท์ใดๆ ให้เกิดความคล่องแคล่วได้และไม่ต้องท่องจำนะคะ

                 ความคิดเรื่อง “  เก่งเสียง  ”  ทำให้  “  อ่านศัพท์อังกฤษออก  ”  ได้รับการยอมรับทั่วโลก  แม้กระทั่งประเทศเจ้าของภาษาอย่าง สหรัฐอเมริกา  (  NRP: National  Reading  Panel,2000  )   ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐบาล  มอบหมายโดยรัฐสภาสหรัฐ ให้วิเคราะห์ผลงานวิจัยจากทั่วประเทศ  เพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุด  ในการสอนให้เยาวชนอ่านออก  และทางองค์กรได้ระบุให้การสอนเรื่อง  การตระหนักหน่วยเสียงย่อย ( phonemic  awareness  )  และการเชื่อมโยงตัวอักษรภาษาอังกฤษกับหน่วยเสียง  (  phonics  )  เป็นขั้นตอนที่มาก่อนการสอนอ่านคำศัพท์ใดๆ   หน่วยเสียงย่อย Phonemes เป็นกุญแจสำคัญอย่าางยิ่งในการบ่งชี้ความสำเร็จในการสอนเด็กที่มีปัญหาเรื่องอ่านไม่ออก  เขียนไม่ได้ 
ซึ่งมันเกิดขึ้นจากการที่พวกเค้าไม่สามารถถอดรหัสหน่วยเสียงย่อย เพื่อรวมหน่วยเสียงเป็นหนึ่งคำศัพท์ได้  การฝึกเด็กๆ  ให้เก่งเรื่องเสียง ด้วยการเรียน “ โฟนิกส์ ” ก่อน คือการสอนให้นักเรียนเชื่อมโยงเสียงกับตัวอักษรได้ ซึ่งเมื่อนักเรียนเชื่อมโยงได้เเล้ว พวกเขาก็สามารถอ่านออกเขียนได้ การสอนโฟนิกส์ จึงถูกกำหนดไว้ในหลักสูตรแห่งชาติสหรัฐอเมริกา  หลักสูตรแกนกลางเพื่อสอนในโรงเรียนของประเทศ  อังกฤษ ฟินแลนด์  ฮ่องกง  ออสเตรเลีย  สิงคโปร์  และอีกหลายประเทศทั่วโลก  ให้ครูสอนภาษาต้องสอนโฟนิกส์เพื่อการอ่านออกของนักเรียน 

reading phonics วิธีการอ่านภาษาอังกฤษที่ได้ผลที่สุด

โฟนิกส์เหมาะกับเด็กวัยกี่ขวบ ?

           เราสามารถเริ่มสอนโฟนิกส์ลูก โดยให้เริ่มจากการสร้างความตระหนักในการเรียนรู้เรื่อง หน่วยเสียงย่อย  (  phonemic awareness  ) ดังที่ครูโบว์ได้เกริ่นมาก่อนหน้านี้เเล้ว ให้กับลูกในวัย 1 ขวบเป็นต้นไป หรือ ชั้นเตรียมอนุบาล หรือปฐมวัย และจากนั้นให้เริ่มสอนโฟนิกส์จริงจังให้กับเด็กๆในชั้นอนุบาล 1 – 3 และวัยชั้นประถมศึกษา ป.1-3             อ่านมาจนถึงตอนนี้ เราคงปฎิเสธกันไม่ได้ว่า Phonics ในบ้านเรา ถึงเวลาจริงจังกันหรือยังที่จะต้องถูกผลักดันและส่งเสริมให้เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ของการเริ่มสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียน           หากวันนี้ลูกๆของคุณพ่อคุณแม่ ยังไม่ได้เริ่มเรียนโฟนิกส์ควบคู่กับการฝึกพูดก่อน แต่ถูกข้ามขั้นตอนการเรียนการสอนไปเริ่มที่ การเขียนเพื่อการอ่านได้ หรือเรียนไวยากรณ์ของภาษาอังกฤษเลยก็เป็นที่น่าเสียดาย ว่าปัญหาที่เด็กๆจะไม่ถูกเปิดใจ ให้รักและชอบภาษาอังกฤษก่อน จะได้รับการปลดล็อคสักที   

เทคนิควิธีการสอนโฟนิกส์เบื้องต้น

      1. ลูกๆรู้จักหน่วยเสียงย่อยมาบ้างแล้ว ผ่านกระบวนการ (  phonemic  awareness  )
      2. สร้างความคุ้นชินให้ลูกรู้จักและเห็นทั้ง 26 ตัวอักษรในภาษาอังกฤษ ผ่านกิจกรรมการร้อง เล่น เต้น การสัมผัส การระบายสี การลากเส้น การใช้กล้ามเนื้อมือต่างๆ
      3. เริ่มไล่สอนทั้ง 26 เสียงผ่านเพลงประกอบ และทำท่าการออกเสียง
      4. หากต้องการให้ลูกผสมเสียงได้เร็วแนะนำให้สอนด้วยการใช้ระบบ Systematic Synthetic Phonics ของ Jolly Phonics ที่แบ่งการออกเสียงเป็นกลุ่มอย่างชัดเจน เพราะ Jolly ได้จัดกลุ่มให้เด็กเริ่มฝึกจากหน่วยเสียงที่เปล่งได้ง่ายที่สุด เช่นเรียนเพียงกลุ่มเเรก s, a, t, i, p, n ลูกสามารถอ่านออกทันที 30 คำ  รายละเอียดมีต่อในบทความหัวข้อ Jolly Phonics 
      5. ฝึกให้ลูกเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษตามกลุ่มเสียง จนเกิดความคุ้นชิน
      6. ใช้แบบฝึกหัดโฟนิกส์ หรือใบงานโฟนิกส์ที่ออกแบบให้ลูกได้ฝึกทักษะการเขียนและคุ้นชินกับตัวอักษรมากขึ้น 
      7. ให้ลูกอ่านนิทานโฟนิกส์ ซึ่งมีการจำกัดคำศัพท์อังกฤษและกลุ่มเสียงเฉพาะที่ลูกได้เรียนมาเเล้ว 
      8. เริ่มสอน sight words สัปดาห์ละ 5 คำ ควบคู่กับการสอนโฟนิกส์ 
      9. ให้ลูกฝึกนำศัพท์โฟนิกส์มาแต่งประโยค หรือ เขียนตามคำบอก 
      10. เล่นเกมทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับโฟนิกส์ ไว้วันหลังครูโบว์จะมาแนะนำกิจกรรมให้คุณพ่อคุณแม่เพิ่มเติมนะคะ 
      11. ฝึกอีก 6 กลุ่มเสียงที่เหลือจนครบ 42-44 เสียงหลัก ด้วยการฝึกตามข้อ 5-10 ควบคู่กันทุกครั้ง   
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน ขั้นตอนการสอนโฟนิกส์ การเริ่มต้นฝึกโฟนิกส์ให้ลูกได้ผลจริง
phonics worksheet krubow
          สุดท้ายแล้ว สิ่งหนึ่งที่ครูโบว์พูดกับนักเรียนและผู้ปกครองในคอร์สเรียนออนไลน์เสมอมา ต่อให้เรามีเครื่องมือที่ดีที่สุด มีสื่อการสอน มีครูเจ้าของภาษา มีหลักสูตร และมีตำราระดับโลกไว้ที่บ้าน แต่เรา ขาดในสิ่งที่สำคัญที่ สุด คือ การให้เวลากับการฝึก เพราะวิธีการเรียนโฟนิกส์ให้ประสบความสำเร็จ  ไม่ได้วัดผล จากการนั่งเรียน นั่งฟังครูผ่านวิดิโอการสอนนานเท่าไรแต่ Phonics เป็นวิชาทักษะ ที่วัดผลได้จากการลงมาฝึกกับครูเท่านั้น  การที่ลูกได้ฝึกวางลิ้น ฝึกวางรูปปาก และผสมเสียงอ่านจริงจังต่างหาก ที่เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ             เมื่อลูกได้มีชั่วโมงบินในการฝึกแล้ว จากนั้นส่งการบ้านมาให้ครูตรวจ ครูคอยรับฟัง และแก้ไขการออกเสียงของพวกเขาในแต่ละวิดิโอ จึงจะทำให้ลูกอ่านออกเสียงได้อย่างถูกต้อง และประสบความสำเร็จในการเรียนอย่างเเท้จริง ซึ่งถ้าหากคุณพ่อคุณแม่เองมีความรู้ตรงนี้ก็สามารถที่จะตรวจสอบการอ่านออกเสียงของลูกแบบโฟนิกส์ได้เลยค่ะ

ด้วยรักจากใจอยากเห็นเด็กไทยอ่านออกเขียนได้ ครูโบว์ 

EngBrain #ครูสอนโฟนิกส์

บทความน่าสนใจอื่นๆ