จากประสบการณ์คลุกคลีและดูแลนักเรียนกับผู้ปกครอง มากกว่า 10,000 ครอบครัว วันนี้เรามาเริ่มต้นใหม่ .... ติดกระดุมเม็ดเเรกของการสอนภาษาอังกฤษให้ลูกอย่างถูกวิธีกันนะคะ ครูโบว์มาไขความลับ .......เราจะปรับแนวทางที่เด็กเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างไร เพื่อให้ลูกเก่งและชอบภาษาอังกฤษภายใน 2 เดือน ทำได้อย่างไรไปอ่านกันค่ะ
เช็คสักนิดลูกคุณแม่ มีอาการข้อใดข้อหนึ่งใน 7 ข้อนี้หรือเปล่า
เด็กไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษหน้าห้อง
ไม่มั่นใจ ไม่เปิดไมค์พูดกับ Teacher ที่โรงเรียน
เจอนิทานภาษาอังกฤษวิ่งหนี
กาข้อสอบภาษาอังกฤษมั่ว ได้คะเเนนน้อย
เรียกให้เเม่ช่วยทำการบ้านภาษาอังกฤษทุกครั้ง
เพราะเเปลโจทย์ไม่ออก
ท้อเเท้ เบื่อหน่าย ไม่อยากเรียนภาษาอังกฤษ
หากมีเพียงหนึ่งข้อ นั่นคือ อาการเริ่มต้นของโรคกลัวภาษาอังกฤษค่ะ
เมื่อลูกกลัวภาษาอังกฤษเพราะรู้สึกว่าถูกล้อ ถูกตัดสินตลอดเวลา จริงๆแล้ว คุณพ่อคุณแม่จะเข้าใจความรู้สึกนี้มาก่อน ย้อนไปในวัยเด็กทุกครั้งที่เราพูดภาษาอังกฤษผิดหน้าห้อง เราก็ถูกเพื่อนล้อ
ทุกครั้งที่พูดภาษาอังกฤษกับคนไทยด้วยกัน แล้วพูดผิดไวยากรณ์เราก็มักจะถูกคนที่พูดได้เก่งกว่าแก้ไขกัน ต่อหน้าต่อตา
หรือเราพูดสำเนียงแบบเจ้าของภาษาก็โดนว่า ว่าสำเนียงดีเกินไป ดัดจริตเกินไป
ทุกท่านอาจเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาบ้างไม่มากก็น้อย ส่วนตัวครูโบว์เองต้องบอกเลยค่ะว่า (เยอะมากค่ะ) ตอนที่โดนก็รู้สึกท้อแท้นะ รู้สึกทำให้เราไม่อยากพูดภาษาอังกฤษกับคนไทยด้วยกันเลย รู้สึกสบายใจมากกว่าที่จะพูดกับเพื่อนฝรั่ง
แต่นั่นละค่ะ ครูโบว์มั่นใจมากๆว่า คุณพ่อคุณแม่คงไม่อยากให้ลูกรู้สึกแบบนี้เลยใช่ไหมคะ
งั้นเรามาดูสาเหตุกันว่า เราจะช่วยเด็กๆไม่ให้เกิดความรู้สึกแบบนี้ได้อย่างไร
สาเหตุเเท้จริงที่ทำให้เราไม่มั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษ เพราะภาษาอังกฤษไม่ได้อยู่ในชีวิตประจำวันมากพอ เราไม่ได้ฝึกพูดบ่อยๆ เราไม่กล้าพูดเพราะกลัวโดนล้อ เราจึงพูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำ พูดทีไรก็รู้สึกไม่คล่องปาก พูดแล้วจึงติดสำเนียงไทย เวลาอ่านแล้วก็ยังไม่ค่อยกล้าออกเสียงสักเท่าไร จะพูดจะเปล่งเสียงใดๆก็ติดขัดไปหมด
เห็นด้วยกับครูโบว์ไหมคะ
จากปัญหาที่เราไม่ได้พูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันเยอะมากพอ ส่งผลต่อความมั่นใจ
อย่าลืมนะคะ ความมั่นใจไม่ใช่วิธีการ แต่เป็นผลลัพธ์ปลายทาง
เพราะความมั่นใจเกิดจากความสามารถ ความสามารถเกิดจากการฝึกฝน การฝึกฝนที่มากพอ จึงทำให้เกิดผลลัพธ์
การพูดได้เปล่งเสียงได้คล่องอย่างมั่นใจ เป็นคุณสมบัติที่เด็กไทยทุกคนควรจะมี ไม่สิค่ะ ควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่เด็กไทยควรได้รับโอกาสและความรู้ที่ถูกต้องในการฝึก
อยากให้ลูกเก่งภาษาเราเริ่มให้เค้าฝึกพูดกับเราตั้งแต่วันนี้เเล้วหรือยัง?
เมื่อคุณพ่อคุณแม่พูดกับลูกได้บ่อยขึ้น เปิดโอกาสให้น้องได้เปล่งเสียง เห็นสิ่งใดที่เป็นภาษาอังกฤษน้องก็ค่อยๆปรับพฤติกรรม เร่ิมต้น อยากเรียนรู้ อยากทำความรู้จัก อยากเข้าใจภาษาอังกฤษมากขึ้น เพราะได้ฟังพูดในชีวิตประจำวันเยอะมากพอ
เรากำลังจะเดินทางไปสู่ทักษะถัดไป คือ เด็กจะรักการอ่าน
ทำอย่างไรให้เด็กรักการอ่านภาษาอังกฤษ
Kids are great imitators, so give them something great to imitate.
เด็กเป็นนักเลียนแบบที่ยอดเยี่ยม
เราจงมอบสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดให้เค้าได้เลียนแบบ
อยากให้ลูกรักการอ่าน วันนี้เราอ่านหนังสือภาษาอังกฤษให้ลูกฟังบ้างหรือยัง
ตอนนี้คุณพ่อคุณเเม่ทราบแล้วว่าต้องพูดและเปิดโอกาสให้ลูกได้พูดบ่อยขึ้น รวมถึงอ่านหนังสือภาษาอังกฤษให้น้องฟัง
แล้วน้องควรจะเริ่มฝึกละเอียดๆอย่างไร
มนุษย์เราเริ่มต้นสื่อสารกันด้วยเสียง ไม่ใช่ paper ก่อนให้เด็กเล็กเรียนสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษเราให้เค้ารู้จักเรื่องเสียงแล้วหรือยัง
วิชาโฟนิกส์เป็นวิชาที่ว่าด้วยเรื่องของ เสียง
หรือ The study of sound
เราจะหาความสัมพันธุ์ของเสียงกับตัวอักษร เพื่อให้เด็กสามารถถอดรหัส เพื่อเปล่งเสียงของคำศัพท์ใดๆ เช่น จากเมื่อก่อนเด็กๆจะจำเพียงแค่ชื่อตัวอักษร
BAT บี เอ ที เเบท
แต่เมื่อเด็กได้รู้จักโฟนิกส์ เค้าจะถอดรหัสเสียงของตัวอักษรได้ว่า
BAT เบอะ เเอะ ถึ แบ็ท
จึงทำให้น้องมีทักษะการอ่านได้อย่างคล่องเเคล่ว สะกดได้เองเป็นธรรมชาติ ลูกๆจะได้ไม่ต้องท่องจำ
เด็กๆจะได้ฝึกการวางลิ้นที่ถูกต้อง และได้ฝึกผสมเสียงภาษาอังกฤษ ซึ่งเมื่อฝึกเยอะมากพอ ลูกจะเปล่งเสียงภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงถูกต้อง
คลิกเพื่ออ่านเพิ่มเติมว่า > โฟนิกส์คืออะไร
ใช่ค่ะเมื่อฝึกลิ้น และฝึกผสมเสียงจนคล่องปาก ก็จะกล้าออกเสียง กล้าพูดภาษาอังกฤษมากขึ้น
และการอ่านจะเป็นประตูไปสู่สิ่งดีี ๆ อีกหลายอย่างเลยค่ะ ครูโบว์เชื่อในเรื่องนี้
ทุกครั้งที่มีสอบเขียนตามคำบอกที่โรงเรียน สอบสะกดคำ โฟนิกส์ช่วยน้องได้เยอะเลยค่ะคุณแม่
เช่น ถ้าต้องเขียนคำว่า
technologist
photosynthesis
aquarium
crocodile
excrete
เด็กโฟนิกส์จะแยกพยางค์ แยกหน่วยเสียงย่อยเเละเขียนคำยาวๆได้เลย
ฝึกโฟนิกส์ทุกวัน ฝึกผสมเสียง และให้อ่านนิทานโฟนิกส์เป็นประจำ
ยุคโควิดและโรคระบาดแบบนี้ อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไป ในเมื่อเราอยู่ใกล้ชิดลูกทุกวัน เราควรสร้างวินัยและสภาวะเเวดล้อมให้น้องได้ฝึกทุกวัน ถูกต้องไหมคะ
ทั้งฝึกพูดฝึกสนทนาภาษาอังกฤษ รวมถึงฝึกอ่านหนังสือ นิยาย หรือนิทานภาษาอังกฤษอย่างสม่ำเสมอค่ะ
ครูโบว์เน้น ฝึกภาษาอังกฤษกันทั้งครอบครัว
แม่คู่ลูก พ่อคู่ลูก
หรือพี่คู่น้องก็ได้ ไม่ว่ากันค่ะ
จะได้มีแรงกระตุ้นคอยส่งเสริม สนับสนุนกัน
เล็กน้อย x สม่ำเสมอ = ผลลัพธ์มหาศาล
ฝึกโฟนิกส์วันละนิด รับรองว่าลูกจะรักการเปล่งเสียงใดๆในภาษาอังกฤษนะคะ